บัญชีแบบไหนที่กรมสรรพากรจับตา? – รู้ทันก่อนถูกตรวจสอบภาษี!
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางบริษัทถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบ ทั้งที่ก็ยื่นภาษีครบ? หรือบางคนโดนภาษีย้อนหลังโดยไม่รู้ตัว? จริง ๆ แล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก บัญชีที่ผิดปกติ ซึ่งอาจไม่ได้มาจากการโกงเสมอไป แต่เกิดจากความไม่รู้ หรือทำบัญชีไม่ถูกวิธี บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า บัญชีแบบไหน ที่เข้าข่าย เสี่ยงโดนสรรพากรตรวจสอบ พร้อมแนวทางป้องกัน เพื่อให้ธุรกิจคุณปลอดภัยและไม่เสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น
ทำไมกรมสรรพากรถึงสุ่มตรวจบัญชี?
หลายคนคิดว่ากรมสรรพากรตรวจสอบเฉพาะบริษัทใหญ่หรือธุรกิจที่มีข่าวไม่โปร่งใสเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจขนาดกลางเล็ก (SMEs) และแม้แต่ ฟรีแลนซ์ที่จดบริษัท ก็มีโอกาสถูกตรวจสอบได้เช่นกัน เพราะกรมสรรพากรมี ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงทางบัญชี (Tax Risk Profiling) ที่ใช้ตรวจจับความผิดปกติในข้อมูลภาษี
- ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics + AI)
กรมสรรพากรมีการพัฒนา ระบบ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการเสียภาษีของผู้ประกอบการทั่วประเทศ ระบบนี้จะจับสัญญาณผิดปกติ เช่น:- รายได้ลดลงผิดปกติ แต่ค่าใช้จ่ายยังสูง
- ยอดภาษีซื้อมากเกินจริงเทียบกับยอดขาย
- มียอดขายในช่องทางออนไลน์ (เช่น Shopee, Lazada, Line OA) แต่ไม่แสดงรายได้ในงบการเงิน
- มีการยื่นภาษีแต่บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว
- รายได้ลดลงผิดปกติ แต่ค่าใช้จ่ายยังสูง
- เชื่อมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
ปัจจุบันกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น:- ยอดภาษีซื้อมากเกินจริงเทียบกับยอดขาย
- มียอดขายในช่องทางออนไลน์ (เช่น Shopee, Lazada, Line OA) แต่ไม่แสดงรายได้ในงบการเงิน
- มีการยื่นภาษีแต่บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว
- ยอดภาษีซื้อมากเกินจริงเทียบกับยอดขาย
- ตรวจสอบจากพฤติกรรม "ผิดปกติ" ที่พบบ่อย
บางกรณีไม่ใช่สุ่ม แต่เกิดจากการที่ระบบแจ้งเตือนว่าธุรกิจมีความผิดปกติ เช่น:- ยื่นแบบภาษีล่าช้าบ่อยครั้ง
- ยื่นแบบแต่ยอดขายไม่สัมพันธ์กับต้นทุน
- มีชื่อพัวพันกับบริษัทที่โดนสอบสวนอยู่
- ยื่นแบบภาษีล่าช้าบ่อยครั้ง
- นโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรเน้นเพิ่ม "Tax Compliance" หรือการปฏิบัติตามภาษีโดยสมัครใจ ซึ่งรวมถึงการ:- ตรวจสอบแบบมีระบบ
- เชิญผู้ประกอบการมาชี้แจงแบบนุ่มนวล (Soft Audit)
- ลงพื้นที่ตรวจบัญชีเฉพาะจุด (Field Audit)
- ตรวจสอบแบบมีระบบ
กรมสรรพากรไม่ได้ สุ่มตรวจ แบบไม่มีเหตุผล แต่ใช้ระบบเทคโนโลยีช่วยตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการหลีกเลี่ยงภาษี ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรทำบัญชีให้ถูกต้อง ชัดเจน และมีหลักฐานรองรับทุกขั้นตอน
บัญชีแบบไหนที่เสี่ยง ถูกจับตา?
การถูกกรมสรรพากรตรวจสอบบัญชี ไม่ใช่เรื่องของ โชคร้าย หรือ ดวง แต่เป็นผลจาก ข้อมูลทางบัญชีที่แสดงพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งเข้าข่ายน่าสงสัยในมุมมองของเจ้าหน้าที่ภาษี และหลายครั้งเกิดจาก ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของเจ้าของธุรกิจเอง
มาดูกันว่า ลักษณะของบัญชีแบบไหนบ้าง ที่กรมสรรพากรมองว่า น่าจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และอาจนำไปสู่การถูกเรียกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง
- รายได้ต่ำผิดปกติ แต่ค่าใช้จ่ายสูง
ตัวอย่างเช่น:- บริษัทมียอดขายเพียง 500,000 บาทต่อปี แต่ลงค่าใช้จ่ายสำนักงาน 450,000 บาท
- ธุรกิจมีผลขาดทุนต่อเนื่องหลายปี ทั้งที่อยู่ในทำเลดี และมีกลุ่มลูกค้าชัดเจน
คำถามที่สรรพากรตั้งคือ: ถ้าไม่มีรายได้จริง ทำไมถึงยังเปิดกิจการอยู่?
- ไม่มีค่าแรงพนักงาน แต่มีธุรกรรมดำเนินงาน
- บางบริษัทแจ้งว่าไม่มีลูกจ้าง (ไม่จ่ายประกันสังคม) แต่มีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน
- หักค่าใช้จ่าย จ้างเหมาบริการ สูงผิดปกติ แต่ไม่มีข้อมูลคู่ค้า หรือหลักฐานการจ่ายเงินจริง
อาจเข้าข่าย หลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของลูกจ้าง
- ค่าใช้จ่ายไม่มีหลักฐานรองรับ
- ค่ารับรอง ค่าขนส่ง ค่าของขวัญลูกค้า แต่ไม่มีใบเสร็จ
- ค่าที่พัก/ค่าเดินทางลงบัญชีเกินจริง หรือใช้ใบเสร็จปลอม
กรมสรรพากรให้สิทธิลดหย่อนเฉพาะ ค่าใช้จ่ายที่พิสูจน์ได้ เท่านั้น
- รายได้บางส่วนไม่แสดงในบัญชี
- รับเงินสดแต่ไม่ออกใบกำกับภาษี
- ขายของออนไลน์แต่ไม่มีข้อมูลในภาษีขาย (ภ.พ.30)
- ยอดโอนจากลูกค้าปรากฏในบัญชีธนาคาร แต่ไม่มีรายการในรายงานภาษี
กรณีนี้มักถูกตรวจจากข้อมูลภายนอก เช่น คู่ค้า หรือ Marketplace
- ภาษีซื้อ-ภาษีขายไม่สัมพันธ์กัน
- ขอคืน VAT สูงกว่าปกติทุกเดือน
- ยื่นภาษีซื้อแต่ไม่มีรายการสินค้าหรือไม่มี Stock
- มี VAT ซื้อแต่ไม่เคยมี VAT ขาย
มักเข้าข่ายการยื่นแบบเท็จเพื่อขอคืนภาษี
- ใช้เอกสารจาก บริษัทเข้าข่ายผิดปกติ
เช่น บริษัทที่สรรพากรเคยตรวจสอบแล้วพบว่าออกใบกำกับภาษีปลอม ถ้ามีชื่อบริษัทนั้นในบัญชีของคุณ จะถูกดึงมาตรวจสอบเชิงลึกทันที เอกสารดีแต่ต้นทาง ไม่ใช่แค่สวยงามในบัญชีปลายทาง
แนวทางป้องกัน ธุรกิจควรทำอย่างไร?
เมื่อรู้แล้วว่าพฤติกรรมทางบัญชีแบบใดที่อาจทำให้กรมสรรพากรจับตา สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เตรียมพร้อมและจัดการเชิงรุก ธุรกิจควรวางระบบบัญชีและภาษีให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยแนวทางต่อไปนี้:
- จัดทำบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงเวลา
ความถูกต้อง = ความปลอดภัย
บัญชีที่จัดทำตามมาตรฐานบัญชีและยื่นแบบภาษีตรงตามกำหนดเวลา จะลดโอกาสการถูกจับตามองได้มาก ไม่ควรรอจนถึงปลายปีหรือวันใกล้ครบกำหนดยื่นภาษีค่อยสรุปบัญชี เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดหรือรายการตกหล่น
แนะนำ: ใช้บริการสำนักงานบัญชีที่มีระบบจัดทำแบบ Real-Time Accounting หรืออย่างน้อยต้องมีการสรุปบัญชีและตรวจสอบทุกเดือน - แยกรายจ่ายส่วนตัวกับรายจ่ายของกิจการ
หลายธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย มักเผลอนำรายจ่ายส่วนตัวมาเบิกจากบริษัท เช่น ค่าเดินทางส่วนตัว ค่าอาหารกับครอบครัว ฯลฯ ซึ่งถือว่าผิดหลักภาษีและอาจกลายเป็นปัญหาหนักหากตรวจสอบย้อนหลัง
แนวทางป้องกัน: ใช้บัญชีธนาคารแยกชัดเจนระหว่างส่วนตัวกับกิจการ
รายจ่ายใด ๆ ที่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือหลักฐานชัดเจน ไม่ควรนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายบริษัท
หากเป็นเจ้าของคนเดียว ควรมีการตั้งเงินเดือนหรือเบี้ยประชุมอย่างเป็นระบบ
- ตรวจสอบงบการเงินก่อนยื่นภาษีทุกครั้ง
อย่ายื่นงบหรือแบบแสดงรายการภาษีโดยไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะหากมีรายการผิดพลาด แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และนำไปสู่การตรวจสอบที่ลึกขึ้นในอนาคต
แนะนำ: ควรมี รีวิวก่อนยื่น โดยนักบัญชีหรือผู้สอบบัญชีภายนอก
หากพบความผิดพลาด ควรรีบทำหนังสือชี้แจงหรือยื่นแก้ไขอย่างโปร่งใส
- วางแผนภาษีล่วงหน้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การวางแผนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่คือการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและรายได้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้กรอบของกฎหมาย เช่น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์, การใช้สิทธิยกเว้น, การกระจายรายได้ในรูปแบบที่เหมาะสม
เช่น: การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น BOI, R&D, การลงทุนในระบบ IT
การจ้างพนักงานแบบมีประกันสังคมเพื่อหักลดหย่อน
การจัดสรรโบนัสหรือปันผลตามช่วงเวลาที่ลดภาระภาษีได้ดีที่สุด
- มีระบบเอกสารและการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ
ทุกการบันทึกบัญชีต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน สัญญา หรือหนังสือรับรองต่าง ๆ การจัดเก็บแบบไม่มีระบบจะทำให้เสียเวลาและลำบากเมื่อถูกตรวจสอบ
คำแนะนำ: ควรใช้ระบบบัญชีออนไลน์ที่แนบเอกสารได้ทันที
สำรองไฟล์เอกสารในระบบคลาวด์ หรือใช้ระบบ DMS (Document Management System)
เก็บเอกสารภาษีขั้นต่ำ 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด
- มีที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษีที่มีประสบการณ์ตรง
เมื่อเกิดข้อสงสัยหรือกรณีถูกตรวจสอบภาษี การมีผู้เชี่ยวชาญที่ รู้วิธีตอบและรู้วิธีแก้ อย่างถูกต้อง จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก
บัญชีที่ดี ไม่ใช่แค่การบันทึกตัวเลข แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการตรวจสอบภาษี ถ้าคุณไม่อยากให้ธุรกิจต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายจากการถูกตรวจย้อนหลัง เราจึงขอสรุปวิธีป้องกันความเสี่ยง ให้เข้าใจกันง่ายๆ ใช้เอกสารที่ถูกต้อง มีใบเสร็จ มีใบกำกับภาษี ตรวจสอบความสัมพันธ์ของรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษี อย่าลงค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ใช้ระบบบัญชีมาตรฐาน และทำบัญชีอย่างโปร่งใสทุกเดือน
หากคุณต้องการให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างมั่นคงและปลอดภัยจากการตรวจสอบ DE Accounting พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ทางบัญชีที่คุณวางใจได้
ปรึกษาเราฟรี: 02-126-0650