แชร์

บัญชีแบบไหนที่กรมสรรพากรจับตา? – รู้ทันก่อนถูกตรวจสอบภาษี!

อัพเดทล่าสุด: 4 มิ.ย. 2025
148 ผู้เข้าชม

คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางบริษัทถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบ ทั้งที่ก็ยื่นภาษีครบ? หรือบางคนโดนภาษีย้อนหลังโดยไม่รู้ตัว? จริง ๆ แล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก บัญชีที่ผิดปกติ ซึ่งอาจไม่ได้มาจากการโกงเสมอไป แต่เกิดจากความไม่รู้ หรือทำบัญชีไม่ถูกวิธี บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า บัญชีแบบไหน ที่เข้าข่าย เสี่ยงโดนสรรพากรตรวจสอบ พร้อมแนวทางป้องกัน เพื่อให้ธุรกิจคุณปลอดภัยและไม่เสียค่าปรับโดยไม่จำเป็น

ทำไมกรมสรรพากรถึงสุ่มตรวจบัญชี?

หลายคนคิดว่ากรมสรรพากรตรวจสอบเฉพาะบริษัทใหญ่หรือธุรกิจที่มีข่าวไม่โปร่งใสเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจขนาดกลางเล็ก (SMEs) และแม้แต่ ฟรีแลนซ์ที่จดบริษัท ก็มีโอกาสถูกตรวจสอบได้เช่นกัน เพราะกรมสรรพากรมี ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงทางบัญชี (Tax Risk Profiling) ที่ใช้ตรวจจับความผิดปกติในข้อมูลภาษี

  1. ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics + AI)
    กรมสรรพากรมีการพัฒนา ระบบ AI และ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการเสียภาษีของผู้ประกอบการทั่วประเทศ ระบบนี้จะจับสัญญาณผิดปกติ เช่น:
    • รายได้ลดลงผิดปกติ แต่ค่าใช้จ่ายยังสูง
    • ยอดภาษีซื้อมากเกินจริงเทียบกับยอดขาย
    • มียอดขายในช่องทางออนไลน์ (เช่น Shopee, Lazada, Line OA) แต่ไม่แสดงรายได้ในงบการเงิน
    • มีการยื่นภาษีแต่บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว
  2. เชื่อมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
    ปัจจุบันกรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น:
    • ยอดภาษีซื้อมากเกินจริงเทียบกับยอดขาย
    • มียอดขายในช่องทางออนไลน์ (เช่น Shopee, Lazada, Line OA) แต่ไม่แสดงรายได้ในงบการเงิน
    • มีการยื่นภาษีแต่บัญชีธนาคารไม่เคลื่อนไหว
  3. ตรวจสอบจากพฤติกรรม "ผิดปกติ" ที่พบบ่อย
    บางกรณีไม่ใช่สุ่ม แต่เกิดจากการที่ระบบแจ้งเตือนว่าธุรกิจมีความผิดปกติ เช่น:
    • ยื่นแบบภาษีล่าช้าบ่อยครั้ง
    • ยื่นแบบแต่ยอดขายไม่สัมพันธ์กับต้นทุน
    • มีชื่อพัวพันกับบริษัทที่โดนสอบสวนอยู่
  4. นโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรเน้นเพิ่ม "Tax Compliance" หรือการปฏิบัติตามภาษีโดยสมัครใจ ซึ่งรวมถึงการ:
    • ตรวจสอบแบบมีระบบ
    • เชิญผู้ประกอบการมาชี้แจงแบบนุ่มนวล (Soft Audit)
    • ลงพื้นที่ตรวจบัญชีเฉพาะจุด (Field Audit)

กรมสรรพากรไม่ได้ สุ่มตรวจ แบบไม่มีเหตุผล แต่ใช้ระบบเทคโนโลยีช่วยตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการหลีกเลี่ยงภาษี ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรทำบัญชีให้ถูกต้อง ชัดเจน และมีหลักฐานรองรับทุกขั้นตอน

บัญชีแบบไหนที่เสี่ยง ถูกจับตา?

การถูกกรมสรรพากรตรวจสอบบัญชี ไม่ใช่เรื่องของ โชคร้าย หรือ ดวง แต่เป็นผลจาก ข้อมูลทางบัญชีที่แสดงพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งเข้าข่ายน่าสงสัยในมุมมองของเจ้าหน้าที่ภาษี และหลายครั้งเกิดจาก ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของเจ้าของธุรกิจเอง

มาดูกันว่า ลักษณะของบัญชีแบบไหนบ้าง ที่กรมสรรพากรมองว่า น่าจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และอาจนำไปสู่การถูกเรียกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง

  1. รายได้ต่ำผิดปกติ แต่ค่าใช้จ่ายสูง
    ตัวอย่างเช่น:
    1. บริษัทมียอดขายเพียง 500,000 บาทต่อปี แต่ลงค่าใช้จ่ายสำนักงาน 450,000 บาท
    2. ธุรกิจมีผลขาดทุนต่อเนื่องหลายปี ทั้งที่อยู่ในทำเลดี และมีกลุ่มลูกค้าชัดเจน
      คำถามที่สรรพากรตั้งคือ: ถ้าไม่มีรายได้จริง ทำไมถึงยังเปิดกิจการอยู่?
  2. ไม่มีค่าแรงพนักงาน แต่มีธุรกรรมดำเนินงาน 
    1. บางบริษัทแจ้งว่าไม่มีลูกจ้าง (ไม่จ่ายประกันสังคม) แต่มีรายได้ต่อเนื่องทุกเดือน
    2. หักค่าใช้จ่าย จ้างเหมาบริการ สูงผิดปกติ แต่ไม่มีข้อมูลคู่ค้า หรือหลักฐานการจ่ายเงินจริง
      อาจเข้าข่าย หลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของลูกจ้าง
  3. ค่าใช้จ่ายไม่มีหลักฐานรองรับ
    1. ค่ารับรอง ค่าขนส่ง ค่าของขวัญลูกค้า แต่ไม่มีใบเสร็จ
    2. ค่าที่พัก/ค่าเดินทางลงบัญชีเกินจริง หรือใช้ใบเสร็จปลอม
      กรมสรรพากรให้สิทธิลดหย่อนเฉพาะ ค่าใช้จ่ายที่พิสูจน์ได้ เท่านั้น
  4. รายได้บางส่วนไม่แสดงในบัญชี
    1. รับเงินสดแต่ไม่ออกใบกำกับภาษี
    2. ขายของออนไลน์แต่ไม่มีข้อมูลในภาษีขาย (ภ.พ.30)
    3. ยอดโอนจากลูกค้าปรากฏในบัญชีธนาคาร แต่ไม่มีรายการในรายงานภาษี
      กรณีนี้มักถูกตรวจจากข้อมูลภายนอก เช่น คู่ค้า หรือ Marketplace
  5. ภาษีซื้อ-ภาษีขายไม่สัมพันธ์กัน
    1. ขอคืน VAT สูงกว่าปกติทุกเดือน
    2. ยื่นภาษีซื้อแต่ไม่มีรายการสินค้าหรือไม่มี Stock
    3. มี VAT ซื้อแต่ไม่เคยมี VAT ขาย
      มักเข้าข่ายการยื่นแบบเท็จเพื่อขอคืนภาษี
  6. ใช้เอกสารจาก บริษัทเข้าข่ายผิดปกติ
    เช่น บริษัทที่สรรพากรเคยตรวจสอบแล้วพบว่าออกใบกำกับภาษีปลอม ถ้ามีชื่อบริษัทนั้นในบัญชีของคุณ จะถูกดึงมาตรวจสอบเชิงลึกทันที เอกสารดีแต่ต้นทาง ไม่ใช่แค่สวยงามในบัญชีปลายทาง

แนวทางป้องกัน ธุรกิจควรทำอย่างไร?

เมื่อรู้แล้วว่าพฤติกรรมทางบัญชีแบบใดที่อาจทำให้กรมสรรพากรจับตา สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เตรียมพร้อมและจัดการเชิงรุก ธุรกิจควรวางระบบบัญชีและภาษีให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยแนวทางต่อไปนี้:

  1. จัดทำบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงเวลา
    ความถูกต้อง = ความปลอดภัย
    บัญชีที่จัดทำตามมาตรฐานบัญชีและยื่นแบบภาษีตรงตามกำหนดเวลา จะลดโอกาสการถูกจับตามองได้มาก ไม่ควรรอจนถึงปลายปีหรือวันใกล้ครบกำหนดยื่นภาษีค่อยสรุปบัญชี เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดหรือรายการตกหล่น
    แนะนำ: ใช้บริการสำนักงานบัญชีที่มีระบบจัดทำแบบ Real-Time Accounting หรืออย่างน้อยต้องมีการสรุปบัญชีและตรวจสอบทุกเดือน

  2. แยกรายจ่ายส่วนตัวกับรายจ่ายของกิจการ
    หลายธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย มักเผลอนำรายจ่ายส่วนตัวมาเบิกจากบริษัท เช่น ค่าเดินทางส่วนตัว ค่าอาหารกับครอบครัว ฯลฯ ซึ่งถือว่าผิดหลักภาษีและอาจกลายเป็นปัญหาหนักหากตรวจสอบย้อนหลัง
    แนวทางป้องกัน: ใช้บัญชีธนาคารแยกชัดเจนระหว่างส่วนตัวกับกิจการ
    รายจ่ายใด ๆ ที่ไม่มีใบกำกับภาษีหรือหลักฐานชัดเจน ไม่ควรนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายบริษัท
    หากเป็นเจ้าของคนเดียว ควรมีการตั้งเงินเดือนหรือเบี้ยประชุมอย่างเป็นระบบ

  3. ตรวจสอบงบการเงินก่อนยื่นภาษีทุกครั้ง
    อย่ายื่นงบหรือแบบแสดงรายการภาษีโดยไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน เพราะหากมีรายการผิดพลาด แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และนำไปสู่การตรวจสอบที่ลึกขึ้นในอนาคต
    แนะนำ: ควรมี รีวิวก่อนยื่น โดยนักบัญชีหรือผู้สอบบัญชีภายนอก
    หากพบความผิดพลาด ควรรีบทำหนังสือชี้แจงหรือยื่นแก้ไขอย่างโปร่งใส

  4. วางแผนภาษีล่วงหน้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    การวางแผนภาษีไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่คือการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและรายได้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้กรอบของกฎหมาย เช่น การหักค่าใช้จ่ายได้เต็มสิทธิ์, การใช้สิทธิยกเว้น, การกระจายรายได้ในรูปแบบที่เหมาะสม
    เช่น:  การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น BOI, R&D, การลงทุนในระบบ IT
    การจ้างพนักงานแบบมีประกันสังคมเพื่อหักลดหย่อน
    การจัดสรรโบนัสหรือปันผลตามช่วงเวลาที่ลดภาระภาษีได้ดีที่สุด

  5. มีระบบเอกสารและการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ
    ทุกการบันทึกบัญชีต้องมีหลักฐานประกอบ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน สัญญา หรือหนังสือรับรองต่าง ๆ การจัดเก็บแบบไม่มีระบบจะทำให้เสียเวลาและลำบากเมื่อถูกตรวจสอบ
    คำแนะนำ: ควรใช้ระบบบัญชีออนไลน์ที่แนบเอกสารได้ทันที
    สำรองไฟล์เอกสารในระบบคลาวด์ หรือใช้ระบบ DMS (Document Management System)
    เก็บเอกสารภาษีขั้นต่ำ 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด

  6. มีที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษีที่มีประสบการณ์ตรง
    เมื่อเกิดข้อสงสัยหรือกรณีถูกตรวจสอบภาษี การมีผู้เชี่ยวชาญที่ รู้วิธีตอบและรู้วิธีแก้ อย่างถูกต้อง จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก

 

บัญชีที่ดี ไม่ใช่แค่การบันทึกตัวเลข แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการตรวจสอบภาษี ถ้าคุณไม่อยากให้ธุรกิจต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายจากการถูกตรวจย้อนหลัง  เราจึงขอสรุปวิธีป้องกันความเสี่ยง ให้เข้าใจกันง่ายๆ ใช้เอกสารที่ถูกต้อง มีใบเสร็จ มีใบกำกับภาษี ตรวจสอบความสัมพันธ์ของรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษี อย่าลงค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ใช้ระบบบัญชีมาตรฐาน และทำบัญชีอย่างโปร่งใสทุกเดือน

หากคุณต้องการให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างมั่นคงและปลอดภัยจากการตรวจสอบ DE Accounting พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ทางบัญชีที่คุณวางใจได้

ปรึกษาเราฟรี: 02-126-0650


บทความที่เกี่ยวข้อง
รู้ไว้ก่อนเจ๊ง! 7 ค่าใช้จ่ายต้องห้ามที่เจ้าของธุรกิจพลาดกันบ่อย
รู้เท่าทันและจัดการให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ค่าใช้จ่ายต้องห้ามอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สามารถส่งผล ใหญ่หลวง ต่อภาษีและความมั่นคงทางการเงินของกิจการ
3 มิ.ย. 2025
งบการเงิน…แค่เอกสาร หรือเข็มทิศของธุรกิจคุณ?
การ "ปิดงบการเงิน" ประจำปี ก็เปรียบเสมือนการสรุปผลการดำเนินงานทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา และเป็น “พื้นฐานที่ธุรกิจต้องมี”
30 พ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy