5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยใน Management Letter และวิธีแก้ไข

Management Letter จากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) เป็นเอกสารสำคัญที่มักแนบมากับรายงานการสอบบัญชีประจำปี มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อน ข้อบกพร่องในการควบคุมภายใน หรือ ประเด็นที่ควรปรับปรุง ที่พบระหว่างการตรวจสอบบัญชี แม้ว่า Management Letter จะไม่มีผลต่อการแสดงความเห็นต่องบการเงินโดยตรง แต่กลับเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ผู้บริหารไม่ควรมองข้าม
ในทางปฏิบัติ บริษัทจำนวนไม่น้อยมอง Management Letter เป็นเพียง เอกสารเสริม ที่มีลักษณะทางเทคนิค ซึ่งนำไปสู่การเพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะที่อาจมีผลกระทบทั้งด้านการเงิน ความเสี่ยง หรือภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว
ในความเป็นจริงแล้ว Management Letter เปรียบได้กับ "รายงานสุขภาพองค์กร" ที่สะท้อนจุดอ่อนที่อาจลุกลามเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ หากไม่มีการวางแผนแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในบริษัทที่มีแผนขยายกิจการ หรือเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) การตอบสนองต่อ Management Letter อย่างเป็นระบบจึงถือเป็น จุดเริ่มต้นของการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับองค์กร
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยใน Management Letter พร้อมแนวทางการแก้ไขเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการยกระดับระบบควบคุมภายในและเสริมความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
- ไม่มีการกระทบยอดบัญชี (Reconciliation) อย่างสม่ำเสมอ
การกระทบยอดบัญชี (Reconciliation) เป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบัญชีที่บันทึกไว้ เปรียบเทียบกับเอกสารภายนอก เช่น รายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement), รายงานลูกหนี้/เจ้าหนี้ หรือบันทึกคลังสินค้า แต่หลายองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก มักละเลยขั้นตอนนี้ หรือทำเพียงปีละครั้งช่วงปิดงบ
สาเหตุหลักอาจเกิดจาก
- ขาดบุคลากรด้านบัญชีที่มีประสบการณ์
- ระบบงานยังใช้มือกรอกข้อมูล (Manual Entry)
- ไม่มีนโยบายหรือ SOP ที่กำหนดรอบเวลาในการกระทบยอด
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- เกิดความคลาดเคลื่อนระหว่างยอดบัญชีและยอดจริง เช่น เงินฝากธนาคาร บัญชีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้
- ความเสี่ยงจากการทุจริตที่ไม่ถูกตรวจพบทันเวลา
- งบการเงินผิดพลาดหรือล่าช้า ทำให้การบริหารจัดการขาดความแม่นยำ
- ในกรณีที่บริษัทเตรียมเข้าตลาด (IPO) อาจถูก Auditor พิจารณาว่าไม่พร้อมด้านระบบควบคุมภายใน - ไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ (Lack of Segregation of Duties)
การแบ่งแยกหน้าที่ (Segregation of Duties หรือ SoD) เป็นหลักพื้นฐานของระบบควบคุมภายในที่ช่วยป้องกันการทุจริตและข้อผิดพลาดในกระบวนการทางบัญชีและการเงิน โดยเฉพาะในกิจกรรมสำคัญ เช่น การอนุมัติการจ่ายเงิน การบันทึกบัญชี และการเก็บรักษาเงินหรือทรัพย์สินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ในหลายองค์กร โดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กหรือมีทรัพยากรจำกัด กลับมีบุคคลเดียวรับผิดชอบหลายขั้นตอน เช่น เจ้าหน้าที่การเงินที่สามารถขออนุมัติและจ่ายเงินเอง, พนักงานบัญชีที่บันทึกบัญชี รับเงินสด และจัดเก็บเอกสารทั้งหมดในคนเดียวซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจสอบ และเพิ่มโอกาสในการทุจริตหรือความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- เกิดการเบิกจ่ายที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
- เสี่ยงต่อการยักยอกเงิน หรือแก้ไขเอกสารทางบัญชีโดยไม่มีใครตรวจพบ
- ความน่าเชื่อถือของงบการเงินลดลง
- หากตรวจพบโดย Auditor จะถูกจัดเป็น ข้อบกพร่องที่มีสาระสำคัญ ใน Management Letter และอาจต้องรายงานต่อผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท - ไม่เก็บเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน (Lack of Supporting Documents)
ปัญหาที่พบ
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยใน Management Letter คือการขาดเอกสารประกอบการทำธุรกรรมอย่างครบถ้วน เช่น
- ไม่มีใบแจ้งหนี้ (Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินแนบการเบิกจ่าย
- ไม่มีเอกสารอนุมัติล่วงหน้า เช่น ใบสั่งซื้อ (PO) หรือสัญญาจ้าง
- ขาดเอกสารแสดงผลการส่งมอบงานหรือรับสินค้า เช่น ใบส่งของ, ใบตรวจรับ
- ใช้สำเนาเอกสารโดยไม่มีต้นฉบับหรือการรับรองสำเนา
ปัญหานี้มักเกิดจากการเก็บเอกสารไม่เป็นระบบ หรือพนักงานขาดความเข้าใจในความสำคัญของเอกสารสนับสนุนที่จำเป็นต่อการตรวจสอบบัญชีและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้สอบบัญชีไม่สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ครบถ้วน อาจไม่รับรองรายการนั้นในงบการเงิน
- ความเสี่ยงต่อการทุจริต เช่น การสร้างค่าใช้จ่ายเทียม หรือการเบิกซ้ำ
- ส่งผลต่อการยื่นภาษี หรือหักภาษี ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้อง
- กรณี IPO หรือ Due Diligence: นักลงทุนหรือ FA มักจะตัดคะแนนความน่าเชื่อถือของระบบภายในองค์กร - ไม่ทบทวนการควบคุมภายในอย่างสม่ำเสมอ (Lack of Regular Internal Control Review)
ปัญหาที่พบ
แม้หลายบริษัทจะมีระบบควบคุมภายใน (Internal Control) อยู่แล้ว เช่น มีนโยบายเบิกจ่าย มีการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร หรือมีระบบจัดซื้อแบบมีลำดับขั้น แต่กลับขาด กระบวนการทบทวน และประเมินว่าระบบนั้นยังมีประสิทธิภาพหรือไม่ และสอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนไปหรือไม่ ซึ่งมักจะพบบ่อยในกรณี
- มีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรหรือระบบ ERP แต่ไม่ได้อัปเดตแนวปฏิบัติ
- SOP ล้าสมัย ไม่ทันกับกระบวนการปัจจุบัน
- ไม่มีทีมตรวจสอบภายใน (IA) หรือมีแต่ไม่ทำงานเชิงรุก - ไม่มีการจัดทำนโยบาย/ระเบียบปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษร (Lack of Written Policies and Procedures)
ปัญหาที่พบ
หลายองค์กร โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวหรือ SME ที่เติบโตจากระบบงานแบบปากต่อปาก หรือเน้นประสบการณ์บุคลากร มากกว่าการวางระบบที่เป็นทางการ มักไม่มี นโยบาย (Policy) หรือ ระเบียบปฏิบัติ (SOP - Standard Operating Procedure) ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ผลที่ตามมาคือ
- พนักงานแต่ละคนทำงานตามความเข้าใจของตนเอง
- ไม่มีเอกสารอ้างอิงเวลามีปัญหา
- ขาดความต่อเนื่องเมื่อต้องเปลี่ยนคน หรือขยายทีม
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
- ระบบงานขาดมาตรฐาน เกิดข้อผิดพลาดซ้ำซาก
- เกิดช่องว่างที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงหรือทุจริตโดยไม่เจตนา
- Auditor ไม่สามารถติดตามหรือตรวจสอบกระบวนการย้อนหลังได้
- หากเข้าสู่ขั้นตอน Due Diligence หรือ IPO อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าขาดระบบควบคุมภายในที่เป็นทางการ
การให้ความสำคัญกับข้อสังเกตใน Management Letter ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาองค์กร ไม่ใช่แค่เพื่อตอบข้อสอบบัญชีให้ผ่าน แต่เพื่อยกระดับความโปร่งใส ความมีวินัยทางการเงิน และความพร้อมในการเติบโตอย่างยั่งยืน หากองค์กรสามารถปรับปรุงจากข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้อย่างเป็นระบบ ย่อมไม่เพียงลดความเสี่ยงในปัจจุบัน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริหาร นักลงทุน และหน่วยงานกำกับดูแลในระยะยาว และหากมองในมุมที่ลึกยิ่งขึ้น Management Letter ก็ไม่ต่างจากแผนที่ ที่ชี้ทางไปสู่การบริหารจัดการที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
Management Letter ที่ดี ไม่ใช่ไม่มีข้อผิดพลาด แต่คือการรู้เท่าทันและพร้อมพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
DE Business Advisory พร้อมให้คำปรึกษาและวางระบบ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงการเทรนนำเสนอระดับมืออาชีพ เพื่อให้บริษัทของคุณไม่เพียงแค่ เข้าตลาดได้ แต่ยังเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยอย่างแท้จริง
"เราไม่ได้เป็นแค่ที่ปรึกษา แต่เราเป็น เพื่อนร่วมทาง ที่มีทั้งทุน คน และระบบ พร้อมจะเดินไปกับคุณจนถึงวันเข้าตลาดหลักทรัพย์"
ติดต่อเราได้ที่
โทร. 098-969-4455 (คุณภูดิศ สุธีรัชตกุล)
www.degroupadvisory.com


