จากธุรกิจครอบครัว สู่บริษัทมหาชน : เส้นทางที่คุณต้องเตรียมตัวล่วงหน้า 3 ปี
ทำไมต้องเตรียมตัวล่วงหน้า 3 ปี?
การจะเป็น บริษัทมหาชน (Public Company) ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน ทั้งการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐาน PAE, การวางระบบควบคุมภายใน, ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น, และเตรียมทีมผู้บริหารให้พร้อมต่อการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐและนักลงทุน
โดยทั่วไป การเตรียม IPO อย่างมีคุณภาพใช้เวลา 2-3 ปีล่วงหน้า เพื่อปรับธุรกิจให้เป็น องค์กรโปร่งใส น่าเชื่อถือ และเติบโตได้ในระยะยาว
Roadmap: เส้นทาง 3 ปี สู่ IPO สำหรับธุรกิจครอบครัว
ปีที่ 1: ปรับฐานราก สร้างความโปร่งใสจากภายใน
- ตรวจสอบบัญชีย้อนหลังโดยผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- วางระบบบัญชีตามมาตรฐาน PAE (จากเดิม NPAEs)
- แยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากกิจการ
- ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้ชัดเจน
- เริ่มวางระบบควบคุมภายในและนโยบายบัญชี
ปีที่ 2: จัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ ขยายทีมและเสริมธรรมาภิบาล
- ตั้งคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ
- จัดทำนโยบายบริหารความเสี่ยง / CG Code / Code of Conduct
- จ้าง FA (ที่ปรึกษาทางการเงิน), IA (ที่ปรึกษาภายใน), Auditor และ Legal Advisor
- ปรับสัญญาทางธุรกิจให้พร้อมเปิดเผยข้อมูล
- เตรียมเอกสารสำคัญสำหรับการยื่น Filing
ปีที่ 3: เข้าสู่กระบวนการ IPO เตรียมความพร้อมสู่ตลาด
- จัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ส่งให้สำนักงาน ก.ล.ต.
- เตรียมแผน IR และ Roadshow ให้นักลงทุน
- เลือกผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter)
- วางแผนการเสนอขายหุ้น (IPO Plan)
- เตรียมทีมบริหารเพื่อเข้าร่วมประชุมกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์
ความท้าทายที่พบบ่อยของธุรกิจครอบครัว
แม้ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากในไทยจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับ SME หรือระดับภูมิภาค แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ บริษัทมหาชน จำเป็นต้องเปลี่ยน mindset และระบบองค์กรจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคสำคัญ ดังนี้:
- บัญชีไม่โปร่งใส / ใช้ระบบบัญชีไม่มาตรฐาน
- ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากยังคงใช้ ระบบบัญชีแบบง่าย หรือทำเพื่อใช้ภายในเท่านั้น เช่น ยังใช้ NPAEs (มาตรฐานบัญชีสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ), ไม่มีการ ปิดบัญชีรายไตรมาส อย่างสม่ำเสมอ, รายการทางบัญชีมีการ โยกย้ายข้ามกิจการในเครือ
- ปัญหาเหล่านี้ทำให้ไม่สามารถยื่น Filing ได้ทันที ต้องมีการ รื้อปรับระบบบัญชีทั้งหมด ย้อนหลัง 23 ปี - การถือหุ้นกระจุกตัวในครอบครัว
- มักมีปัญหา เช่น หุ้นส่วนบางคน ถือแต่ไม่บริหาร หรือ มีผลประโยชน์ทับซ้อน, ไม่สามารถเปิดเผยโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อสาธารณะได้ทั้งหมด
- ตลาดหลักทรัพย์ต้องการให้บริษัทมี Free Float (ผู้ถือหุ้นรายย่อย) อย่างน้อย 1525% ขึ้นอยู่กับขนาดบริษัท
- บางครั้งต้องมีการ ปรับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่ เช่น การจัดสรรให้ VC, VI หรือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ - ไม่มีทีมบริหารมืออาชีพ
- ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักบริหารโดยคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งอาจขาดความรู้ด้านการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล, การวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวแบบองค์กร, การบริหารนักลงทุน (IR)
- เมื่อต้องจัดตั้งกรรมการอิสระ, คณะกรรมการตรวจสอบ, CFO หรือ IR Manager จึงขาดทรัพยากรและประสบการณ์ - โยกเงินระหว่างธุรกิจกับส่วนตัว
- พบบ่อยว่าผู้บริหารใช้บัญชีบริษัทจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น บ้าน, รถยนต์, ท่องเที่ยว, หรือค่าใช้จ่ายครอบครัว
- สิ่งนี้ถือเป็น รายการระหว่างกัน (Related Party Transaction) ซึ่งต้องเปิดเผยในงบการเงินและยื่นต่อ ก.ล.ต.
- หากไม่จัดการให้โปร่งใส จะไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือถูกปรับปรุงรายการจำนวนมาก - ขาดระบบเอกสารและการอนุมัติภายใน
- ไม่มีนโยบายเขียนชัดเจนเรื่องการอนุมัติ การเบิกจ่าย, การสั่งซื้อ, การจัดซื้อจัดจ้าง
- เวลาสอบทานระบบควบคุมภายในโดย IA หรือ FA มักพบว่า ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งทำให้ไม่ผ่านขั้นตอน Internal Control
IPO ไม่ใช่แค่การขายหุ้น แต่คือการ "ยกระดับกิจการทั้งระบบ"
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่คือการเปลี่ยนผ่านจาก ธุรกิจครอบครัว สู่ องค์กรสาธารณะที่โปร่งใสและเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 3 ปี ครอบคลุมการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐาน PAE, การวางระบบควบคุมภายใน, การปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น และการสร้างทีมบริหารที่พร้อมรับการตรวจสอบจากนักลงทุนและหน่วยงานภาครัฐ
ธุรกิจครอบครัวมักเผชิญความท้าทาย เช่น ระบบบัญชีไม่โปร่งใส การถือหุ้นกระจุกตัว ขาดทีมผู้บริหารมืออาชีพ และการปะปนระหว่างทรัพย์สินส่วนตัวกับกิจการ ซึ่งล้วนต้องแก้ไขเชิงโครงสร้างก่อนยื่น Filing ได้
หากเริ่มวางแผนอย่างมีระบบตั้งแต่วันนี้ ธุรกิจครอบครัวสามารถยกระดับสู่บริษัทมหาชนได้จริง พร้อมสร้างมูลค่าในระยะยาวทั้งต่อกิจการและผู้ถือหุ้น